ถึงแม้ว่าโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะมีมานานมากแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ทำให้ปัจจุบันต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี หรือการเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง
เนื้อหาสำคัญ
เอชไอวี คืออะไร
เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
โรคเอดส์ คืออะไร
เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome – AIDS) คือ กลุ่มอาการของการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนต่างๆ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่งกายถูกเชื้อเอชไอวีทำลายจนไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายเหล่านี้ได้
สาเหตุการติดเชื้อเอชไอวี
สามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์
เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อเอชไอวี ตัวอย่างเช่น
โรคเอดส์ กับ เชื้อเอชไอวี เป็นคนละตัวกัน
HIV คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ส่วนโรคเอดส์ คือ โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เชื้อเอชไอวีทำลาย
โรคเอดส์ ยังมีโอกาสรอดชีวิต
ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาโรคเอดส์ได้โดยตรง แต่ถ้าหากตรวจพบในระยะที่ยังเป็นการติดเชื้ออยู่ สามารถทานยาต้านไวรัส เพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายภูมิคุ้มกันในร่างกาย จนเกิดอาการความผิดปกติออกมา ดังนั้นหากตรวจพบเชื้อได้เร็ว ก็จะยิ่งควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ง่าย จนไม่เชื้อไม่พัฒนาเป็นโรคเอดส์ที่สมบูรณ์ โอกาสรอดก็มีสูงขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป
คนเป็นเอดส์ ติดเชื้อเอชไอวี ต้องเสียชีวิตด้วยอาการแผล ตุ่ม หนอง
อาการแผล ตุ่ม หนอง หรือ ผื่น ที่เกิดขึ้นในผู้ติดเชื้อ เป็นอาการทางผิวหนังของระยะการเป็นโรคของการติดเชื้อ หรืออาจเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาที่รักษาการติดเชื้อ ก็ได้ ซึ่งไม่ว่าผื่นนั้นจะเกิดจากการใช้ยา หรือจากตัวเชื้อไวรัสเอง โดยส่วนใหญ่ผื่นนั้นจะมีสีแดงแบนบนผิวหนังและมีตุ่มนูนแดงอยู่ด้านบน
ผู้ป่วยโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อเอชไอวี คือคนที่สำส่อนในเพศสัมพันธ์
การติดเชื้อไม่ได้เกิดจากเพศสัมพันธ์เท่านั้น หลายคนที่อาจติดเชื้อเอชไอวี จากแม่ หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อก็เป็นได้
เชื้อเอชไอวี ไม่ใช่ไข้หวัดที่จะติดต่อกันได้ง่าย
- เชื้อเอชไอวี จะไม่ติดต่อกันผ่านทาง กอด จูบ (ยกเว้นกรณีที่มีแผลในปาก แล้วจูบแลกน้ำลายกัน)
- ทานข้าวร่วมกัน จานเดียวกัน ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน หรือแม้แต่ใช้ช้อน ส้อมคันเดียวกัน
- มีเพศสัมพันธ์ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย
- ลมหายใจ
- ใช้สิ่งของอุปโภคร่วมกัน ใช้สบู่ ครีมอาบน้ำ แชมพู ยาสีฟัน ร่วมกัน
- การใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายที่ยิม
- การสัมผัสที่ฝารองนั่งในห้องน้ำ, ลูกบิดประตู หรือที่จับ
เชื้อเอชไอวีแพร่ผ่านการสัมผัส น้ำตา เหงื่อ น้ำลาย หรือปัสสาวะได้
จริง ๆ แล้ว เชื้อเอชไอวีไม่สามารถแพร่ผ่านการสัมผัส น้ำตา เหงื่อ น้ำลาย หรือปัสสาวะ
วิธีการรักษาแบบแปลก ๆ สามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีได้
- การอาบน้ำหลังจากมีเพศสัมพันธ์
- การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ยังบริสุทธิ์อยู่ สามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีได้
ยุงแพร่เชื้อเอชไอวีได้
ถึงแม้ว่าเชื้อเอชไอวีสามารถแพร่เชื้อผ่านทางเลือดของผู้ติดเชื้อไปสู่คนอื่นได้ แต่ไม่สามารถติดเชื้อเอชไอวีจากการถูกแมลงกัด หรือถูกแมลงดูดเลือดได้ เพราะ เมื่อถูกแมลงกัด แมลงเหล่านั้นไม่ได้ฉีดเลือดของคน หรือสัตว์ที่พวกมันกัดก่อนหน้านี้ ใส่คนที่มันกัดต่อหลังจากนั้น เนื่องจากเชื้อเอชไอวีมีชีวิตอยู่ได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ภายในตัวของแมลงเหล่านั้น
เราไม่อาจติดเชื้อเอชไอวีได้จากการทำออรัลเซ็กส์
การทำออรัลเซ็กส์ มีความเสี่ยงน้อยกว่าการมีเพศสัมพันธ์บางรูปแบบ อัตราการแพร่เชื้อน้อยกว่า 4 ครั้ง จากการทำออรัลเซ็กส์ 10,000 ครั้ง แต่คุณอาจติดเชื้อเอชไอวีได้จากการทำออรัลเซ็กส์กับชายหรือหญิงที่มีเชื้อเอชไอวี จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยเสมอ แม้แต่การทำออรัลเซ็กส์
เราไม่อาจติดเอชไอวีได้ ถ้าเราสวมถุงยาง
ถุงยางอนามัยไม่สามารถป้องกันการสัมผัสเชื้อเอชไอวีได้ ในกรณีที่ถุงยางเกิดแตก, หลุด, หรือรั่ว ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ก็ทำให้สามารถติดเชื้อได้อยู่
ไม่มีอาการ หมายความว่า ไม่มีเชื้อเอชไอวี
ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีอาจใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่มีอาการใด ๆ เลย เป็นเวลานาน 10-15 ปี พวกเขาอาจจะมีอาการเจ็บป่วยที่คล้ายกับหวัด รวมถึง การมีไข้, ปวดหัว, ผื่น, หรือเจ็บคอ ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของการติดเชื้อ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจเลือด หลังจากมีความเสี่ยงจากการสัมผัสเชื้อ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และความปลอดภัยสำหรับตนเอง และผู้อื่น
คนที่ใช้ชีวิตร่วมกับเอชไอวีจะเสียชีวิตเร็ว
คนที่รู้ตัวว่าติดเชื้อเอชไอวีเข้ารับการรักษาได้เร็ว ทานยาต้านไวรัสตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ และรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นประจำ และใช้ชีวิตตามเหมือนคนปกติได้
แม่ที่มีเชื้อเอชไอวีจะทำให้ลูกติดเชื้อไปด้วยเสมอ
ไม่จำเป็น แม่ที่ทานยาต้านไวรัสเอชไอวี สามารถมีลูกได้โดยไม่แพร่เชื้อเอชไอวีให้แก่ลูก
การติดเชื้อในเด็ก เกิดในช่วงที่อยู่ในครรภ์มารดา หรือระหว่างคลอด สำหรับประเทศไทยไม่แนะนำให้ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อกินนมแม่ จึงไม่พบการติดเชื้อภายหลังการคลอด ส่วนการติดเชื้อในบิดาจะไม่มีการติดต่อมายังบุตร
นอกจากนี้การคลอดโดยการผ่าตัดทางหน้าท้อง (Caesaren section) ก่อนจะเจ็บครรภ์หรือมีน้ำเดิน จะช่วยลดอันตรายการเกิดเชื้อในทารกลงไปได้อีก
ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถมีครอบครัวได้
การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใช้ถุงยางอนามัย จะทำให้มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้ แต่หากอยากมีครอบครัว ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถจูงมือคู่รัก เพื่อปรึกษาแพทย์ หาทางออกในการมีครอบครัว มีบุตรโดยที่บุตรไม่ติดเชื้อเอชไอวีได้
ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไม่จำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต
การทานยาต้านไวรัสตรงเวลา และมีการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ มีโอกาสที่เชื้อไว้รัเอชไอวีจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จนอาจสามารถหยุดทานยาได้ แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างสม่ำเสมอประกอบด้วย
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :
- 6 สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์กับผู้ติดเชื้อ HIV https://tenderloinhealth.org/6-สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิ/
- เอดส์: 8 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี https://www.bbc.com/thai/international-46363949
- 8 สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV http://www.drugsquare.co.th/healthy/69/