
วิธีส่งเสริมการเข้าถึง PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) อาจดูเหมือนเป็นเพียง “ยาเม็ดเล็ก ๆ” แต่ในความจริงแล้ว มันคือ เครื่องมือสาธารณสุขที่ทรงพลังที่สุดในการป้องกันเอชไอวีในศตวรรษนี้ หลายงานวิจัยยืนยันตรงกันว่า หากใช้ PrEP อย่างถูกวิธี ความเสี่ยงในการติดเชื้อจะลดลงมากกว่า 99%
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เราเจอในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย คือ PrEP มีประสิทธิภาพสูง แต่เข้าถึงได้น้อย คนที่ควรได้ใช้กลับไม่รู้จัก หรือแม้รู้จักก็ไม่กล้าเข้ามารับบริการ เพราะกลัวสายตาสังคม
นี่คือจุดที่ “ผู้ให้บริการ” และ “นโยบายสาธารณสุข” ต้องเข้ามาช่วยผลักดัน เพื่อทำให้ PrEP ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แค่ในเอกสารนโยบาย แต่กลายเป็น ของจริงที่อยู่ในมือของผู้คน
เนื้อหาสำคัญ
ทำไมการเข้าถึง PrEP ถึงสำคัญกว่าที่คิด
การเข้าถึง PrEP ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของ “สิทธิด้านสุขภาพ” เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง “ความเท่าเทียม” และ “ความยุติธรรมทางสังคม”
- ลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่: WHO ประเมินว่าถ้า PrEP เข้าถึงได้ทั่วถึง จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ทั่วโลกอาจลดลงได้เกือบครึ่งหนึ่งภายในทศวรรษหน้า
- ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว: การรักษา HIV ตลอดชีวิตมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการให้ PrEP หลายสิบเท่า การลงทุนใน PrEP จึงช่วยประหยัดงบประมาณสาธารณสุขในระยะยาว
- สร้างความมั่นใจในชีวิตประจำวัน: ผู้ที่ใช้ PrEP อย่างต่อเนื่องรู้สึกมีอิสระและมั่นใจมากขึ้นในการใช้ชีวิต ไม่ต้องอยู่กับความกลัวแบบเดิม
- ลดการตีตรา: หาก PrEP กลายเป็นเรื่องปกติในสังคม จะช่วยสลายภาพลบที่เคยมีต่อคนที่อยู่ใน “กลุ่มเสี่ยง”
อุปสรรคที่ทำให้คนยังเข้าถึง PrEP ได้น้อย
แม้จะมี PrEP ให้บริการในหลายโรงพยาบาลและคลินิก แต่สิ่งที่เราเห็นคือ ช่องว่างขนาดใหญ่ ระหว่าง “นโยบายบนกระดาษ” กับ “ชีวิตจริงของผู้คน”
2.1 ความรู้ไม่ทั่วถึง
งานวิจัยในไทยชี้ว่า แม้จะมีการประชาสัมพันธ์มาหลายปี แต่คนจำนวนมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า PrEP คืออะไร หรือบางคนเข้าใจผิดว่ามีไว้สำหรับ “เกย์เท่านั้น” ซึ่งไม่จริงเลย
2.2 ความกลัวการตีตรา
สำหรับคนบางคน แค่เดินเข้าไปถามเรื่อง PrEP ในโรงพยาบาล ก็เหมือนเป็นการ “เปิดเผยตัวตน” โดยไม่ตั้งใจ ความกลัวการถูกตัดสินว่ามีพฤติกรรมเสี่ยง หรือเป็น LGBTQ+ ทำให้หลายคนเลือกที่จะไม่ขอรับบริการ
2.3 ค่าใช้จ่าย
แม้ราคาจะลดลงเมื่อมี generic PrEP แต่สำหรับบางครอบครัว ค่าใช้จ่ายรายเดือนก็ยังเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น นักศึกษา หรือแรงงานข้ามชาติ
2.4 การกระจายบริการไม่เท่ากัน
ในกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่ มีคลินิกมูลนิธิและโรงพยาบาลที่ให้บริการ PrEP แต่ในพื้นที่ชนบท กลับมีน้อยมาก ทำให้คนต้องเดินทางไกล
2.5 ความพร้อมของบุคลากร
แพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขบางแห่งยังขาดความรู้ ความเข้าใจ และความมั่นใจในการสื่อสารเรื่อง PrEP
บทบาทของผู้ให้บริการ: จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

ผู้ให้บริการสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล เภสัชกร หรือเจ้าหน้าที่ในคลินิก ต่างมีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้กำหนดประสบการณ์ครั้งแรก” ของผู้รับบริการ ซึ่งประสบการณ์ครั้งแรกนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจว่าจะกลับมาใช้ PrEP ต่อหรือไม่ ดังนั้นการสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็น ผู้ป่วยควรได้รับความรู้สึกว่าตนเองไม่ถูกตัดสิน ไม่ว่าจะมีเพศสภาพ พฤติกรรม หรือประวัติใดก็ตาม คลินิกที่มีสัญลักษณ์ LGBTQ-friendly หรือเลือกใช้ภาษาเป็นกลางทางเพศจะช่วยสร้างความมั่นใจและความสบายใจแก่ผู้รับบริการ ขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการก็ควรสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคซับซ้อน ตัวอย่างเช่น แทนที่จะบอกเพียงว่า “PrEP มีประสิทธิภาพสูง” ควรเล่าให้เห็นภาพว่า “ยานี้เหมือนเกราะป้องกัน ถ้ากินทุกวันก็แทบไม่ติดเชื้อเลย”
นอกจากนี้ การทำงานร่วมกับองค์กรชุมชน เช่น มูลนิธิด้าน HIV เช่น มูลนิธิเพื่อรัก หรือกลุ่มเยาวชน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การเข้าถึง PrEP กว้างขวางและเป็นมิตรยิ่งขึ้น เพราะผู้คนมักรู้สึกปลอดภัยกว่าเมื่อติดต่อผ่านเครือข่ายใกล้ตัว นอกจากนี้ผู้ให้บริการยังต้องไม่ลืมเรื่องการติดตามและดูแลต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ใช้ PrEP จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือดทุก 3–6 เดือน หากมีระบบสนับสนุนที่สะดวก เช่น การแจ้งเตือนผ่านไลน์หรือบริการ Telehealth ผู้ใช้ก็จะมีความต่อเนื่องในการรับยาและตรวจสุขภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันเอชไอวีอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
บทบาทของนโยบายสาธารณสุข
นโยบายคือสิ่งที่จะทำให้ PrEP กลายเป็น “มาตรฐาน” แทนที่จะเป็น “ทางเลือกพิเศษ”
4.1 การบรรจุในสิทธิประโยชน์
ถ้า PrEP ถูกบรรจุในสิทธิหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง / ประกันสังคม) ทุกคนจะเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
4.2 การกระจายบริการสู่ระดับชุมชน
รัฐควรส่งเสริมให้โรงพยาบาลชุมชน หรือแม้แต่คลินิกเอกชนขนาดเล็ก สามารถจ่าย PrEP ได้ ไม่ใช่แค่ศูนย์ใหญ่ในเมือง
4.3 แคมเปญสื่อสาร
แคมเปญ “PrEP = ความรักที่ปลอดภัย” หรือ “PrEP ปกป้องคุณและคนที่คุณรัก” สามารถทำให้ PrEP กลายเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็พูดถึงได้
4.4 สนับสนุนนวัตกรรม
นอกจาก PrEP แบบกิน ควรมีการสนับสนุนให้เข้าถึง PrEP แบบฉีด (Cabotegravir, Lenacapavir) เพื่อตอบโจทย์คนที่ไม่สะดวกกินยาทุกวัน
ตัวอย่างนโยบายที่ประสบความสำเร็จ
ประเทศ | แนวทาง | ผลลัพธ์ |
---|---|---|
สหรัฐอเมริกา | บรรจุ PrEP ในสิทธิประกันสุขภาพ, CDC ออก guideline ให้แพทย์เสนอ PrEP ทุกครั้ง | อัตราการใช้ PrEP สูงขึ้นต่อเนื่อง |
ออสเตรเลีย | แจก PrEP ฟรี/ราคาต่ำ, มีคลินิก community-based | อัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงชัดเจน |
เคนยา | ขยาย PrEP ไปถึงคลินิกปฐมภูมิ และจัดอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น | ผู้หญิงและวัยรุ่นเข้าถึง PrEP มากขึ้น |
มุมมองประเทศไทยกับ วิธีส่งเสริมการเข้าถึง PrEP
ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็น “ผู้นำ” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเรื่อง PrEP เพราะเรามีเครือข่าย NGO ที่แข็งแรง มีคลินิกมูลนิธิที่ทำงานใกล้ชิดกับชุมชน และมีบุคลากรทางการแพทย์ที่พร้อมพัฒนา
สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ:
- บรรจุ PrEP ในระบบบัตรทอง
- กระจายบริการไปยังโรงพยาบาลชุมชน
- สร้างสื่อสารที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า PrEP ไม่ใช่แค่สำหรับ “เกย์” แต่สำหรับทุกคนที่มีความเสี่ยง
- เตรียมความพร้อมเพื่อนำ PrEP แบบใหม่ เช่น PrEP ฉีดครึ่งปี Lenacapavir และ CAB-LA PrEP เข้ามา
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: PrEP ปลอดภัยไหม?
A: งานวิจัยทั่วโลกยืนยันว่า PrEP มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงมีน้อยและมักหายไปเอง เช่น คลื่นไส้เล็กน้อยในช่วงแรก
Q: ต้องตรวจอะไรบ้างก่อนเริ่ม PrEP?
A: ต้องตรวจ HIV ให้แน่ใจว่าติดเชื้อหรือไม่ และตรวจการทำงานของไต (Creatinine) ก่อนเริ่มใช้ยา
Q: ใครควรใช้ PrEP?
A: ทุกคนที่มีความเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน, มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยาง, คู่รักที่ฝ่ายหนึ่งติดเชื้อ HIV
Q: PrEP แบบฉีดมีให้บริการในไทยหรือยัง?
A: ปัจจุบันยังมีเฉพาะในโครงการวิจัยและบางคลินิกเอกชน แต่ในอนาคตคาดว่าจะมีการนำเข้าอย่างกว้างขวาง
PrEP ไม่ใช่แค่ยา แต่คือสัญลักษณ์ของความหวังและความเท่าเทียม การส่งเสริมการเข้าถึง PrEP จึงไม่ใช่เพียงการกระจายตัวยา แต่คือการสร้าง ระบบที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะป้องกันสุขภาพของตัวเอง
ผู้ให้บริการที่เปิดใจ และนโยบายที่เอื้อต่อประชาชน คือสองขาที่ต้องเดินไปพร้อมกัน หากเราทำได้ PrEP จะไม่ใช่เรื่องของ “บางกลุ่ม” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นมาตรการสาธารณสุขที่ทุกคนเข้าถึงได้จริง และนี่คือก้าวสำคัญที่จะทำให้ “เป้าหมายสังคมปลอด HIV” ไม่ใช่แค่ฝัน
อ้างอิง (References)
- World Health Organization (WHO). (2022). Consolidated guidelines on HIV prevention, testing, treatment, service delivery and monitoring. Geneva: WHO. https://www.who.int/publications/i/item/9789240031593
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2021). Preexposure Prophylaxis for the Prevention of HIV Infection in the United States — 2021 Update: A Clinical Practice Guideline. https://www.cdc.gov/hiv/clinicians/prevention/prep.html
- UNAIDS. (2023). Global HIV & AIDS statistics — Fact sheet. https://www.unaids.org/en/resources/fact-sheet
- AVAC / PrEPWatch. (2024). Global PrEP Tracker. https://www.prepwatch.org
- Ministry of Public Health, Thailand. (2023). HIV prevention and PrEP implementation in Thailand. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. http://www.ddc.moph.go.th