
ในปี 2568 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการระบาดของโรคซิฟิลิสที่น่ากังวล โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุ 15–24 ปี ซึ่งมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลของ HIV Info Hub พบว่าอัตราการติดเชื้อในกลุ่มนี้เพิ่มจาก 4 ต่อแสนประชากรในปี 2552 เป็น 91.2 ต่อแสนประชากรในปี 2566 แล้ว ซิฟิลิสติดต่อกันทางไหน? ล่ะ
โรคซิฟิลิสติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การสัมผัสแผลหรือผื่นของผู้ติดเชื้อ และจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ อาการของโรคในระยะแรกมักไม่แสดงชัดเจน ทำให้หลายคนไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษา โรคอาจลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และระบบประสาท ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ซิฟิลิสคืออะไร? ทำไมต้องใส่ใจโรคนี้มากขึ้น
ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum เป็นโรคที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และในปัจจุบันยังไม่หมดไปจากสังคมไทย แม้ว่าการรักษาซิฟิลิสในปัจจุบันสามารถทำให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก แต่หากละเลยการรักษา โรคอาจลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และระบบประสาท ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ซิฟิลิสติดต่อกันทางไหน? ช่องทางหลักที่ต้องรู้
โรคซิฟิลิสสามารถติดต่อได้หลายทาง โดยเฉพาะทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งรวมถึง:
- การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปากกับผู้ที่มีเชื้อซิฟิลิส โดยเฉพาะเมื่อมีแผลซิฟิลิสที่มักไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บ
- การสัมผัสแผลซิฟิลิสหรือผื่นในระยะที่ติดต่อได้
- การติดจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์หรือตอนคลอด (เรียกว่าซิฟิลิสแต่กำเนิด)
- การใช้ของใช้ร่วมกันบางประเภท เช่น อุปกรณ์เซ็กซ์ทอย ที่มีการปนเปื้อน
- การรับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ (พบได้น้อยมากในปัจจุบันเพราะมีมาตรการคัดกรองที่เข้มงวด)
ซิฟิลิสในแต่ละระยะ ติดต่อและมีอาการอย่างไรบ้าง
ซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก ซึ่งแต่ละระยะมีความสามารถในการติดต่อและลักษณะอาการที่แตกต่างกัน:
- ระยะแรก: แผลเดี่ยวหรือหลายแผลเล็ก ๆ ที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก มักไม่เจ็บ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวและไม่ได้รับการตรวจ
- ระยะที่สอง: เกิดผื่นทั่วร่างกาย รวมถึงฝ่ามือ ฝ่าเท้า ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ มีไข้ ปวดเมื่อย
- ระยะแฝง: ไม่มีอาการ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้ในช่วงต้นของระยะนี้
- ระยะสุดท้าย: เชื้อแพร่เข้าสู่อวัยวะสำคัญ เช่น สมอง ระบบหัวใจ และกระดูก อาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้
ทำไมสถานการณ์ซิฟิลิสในไทยจึงน่าเป็นห่วงในปี 2025

ขอบคุณรูปภาพจาก : Love Foundation
รายงานจากกรมควบคุมโรคระบุว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อซิฟิลิสเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15–24 ปี ซึ่งมักเริ่มมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และไม่เข้ารับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์น่ากังวล ได้แก่:
- การไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
- การมีคู่นอนหลายคน
- ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดต่อและอาการของโรค
- การไม่เข้าถึงบริการตรวจโรคติดต่อ
- วัฒนธรรมเซ็กส์แบบไม่เปิดเผย ทำให้ไม่กล้าไปตรวจ
ตรวจซิฟิลิสได้ที่ไหน? ใช้เวลานานไหม? เจ็บหรือเปล่า
การตรวจซิฟิลิสสามารถทำได้ง่ายด้วยการเจาะเลือดเพียงเล็กน้อย และมักใช้เวลาไม่นาน โดยผลตรวจจะออกภายใน 1–2 วัน หรือเร็วสุดใน 1 ชั่วโมงในบางคลินิก
สถานที่ที่สามารถเข้ารับบริการตรวจซิฟิลิสได้ในไทย ได้แก่:
- โรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วประเทศ
- คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ทางเพศ
- คลินิกนิรนามของสภากาชาดไทย
- คลินิกชุมชนอบอุ่นในเขตเมือง
- บริการตรวจเชิงรุกจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Love2Test.org
ซิฟิลิสรักษาหายไหม? ต้องกินยานานไหม?
ซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายได้โดยเฉพาะในระยะต้น ด้วยยาฉีดเพนนิซิลลิน เบนซาไธน (Benzathine penicillin G) ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันมานานและมีประสิทธิภาพสูง หากผู้ติดเชื้อแพ้เพนนิซิลลิน อาจใช้ยาปฏิชีวนะชนิดอื่นภายใต้การดูแลของแพทย์
การรักษาควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ และควรตรวจซ้ำภายใน 3–6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดไปแล้ว และไม่กลับมาติดซ้ำ
ป้องกันซิฟิลิสอย่างไรให้ได้ผลจริง
แม้ซิฟิลิสจะสามารถรักษาได้ แต่การป้องกันย่อมดีกว่า โดยสามารถทำได้ดังนี้:
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
- ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อมีคู่นอนใหม่
- ไม่ใช้เซ็กซ์ทอยร่วมกับผู้อื่น หรือล้างให้สะอาดก่อนใช้ทุกครั้ง
- พูดคุยกับคู่นอนเรื่องการตรวจ STI อย่างเปิดเผย
ซิฟิลิสเกี่ยวอะไรกับ HIV หรือโรคติดต่ออื่น ๆ หรือไม่?
งานวิจัยพบว่า การติดเชื้อซิฟิลิสจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ถึง 2–5 เท่า เนื่องจากแผลซิฟิลิสเปิดโอกาสให้เชื้อ HIV เข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายขึ้น อีกทั้งผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิส มักมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ไม่ใช้ถุงยาง มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่รู้สถานะของกันและกัน
รณรงค์ตรวจเชื้อในวัยรุ่น LGBTQ+ สำคัญแค่ไหน?
ในประเทศไทย กลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะชายรักชายและกลุ่มวัยรุ่น คือกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อซิฟิลิสและโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการเข้าถึงบริการตรวจฟรี การให้ความรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย และการรณรงค์เชิงสร้างสรรค์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
แพลตฟอร์มอย่าง Love2Test.org, ศูนย์บริการของโรงพยาบาลรัฐ, และคลินิกเอกชน LGBTQ-friendly มีบทบาทสำคัญในการเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้คนรุ่นใหม่กล้าตรวจ กล้ารักษา และกล้าพูดคุยเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา
อ้างอิง
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รายงานโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังประจำปี 2567–2568
- WHO. Sexually transmitted infections (STIs). [ออนไลน์] https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)
- CDC. Syphilis – CDC Fact Sheet (Detailed). [ออนไลน์] https://www.cdc.gov/std/syphilis/stdfact-syphilis-detailed.htm
- สภากาชาดไทย. คลินิกนิรนาม. [ออนไลน์] https://www.trcarc.org/th/anonymoustestingclinic