ซิฟิลิสติดต่อกันทางไหน? ในไทยสถานการณ์น่าห่วงแค่ไหนในปี 2025

พฤษภาคม 30, 2025
Written By HIV Team

ซิฟิลิส

ในปี 2568 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการระบาดของโรคซิฟิลิสที่น่ากังวล โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุ 15–24 ปี ซึ่งมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลของ HIV Info Hub พบว่าอัตราการติดเชื้อในกลุ่มนี้เพิ่มจาก 4 ต่อแสนประชากรในปี 2552 เป็น 91.2 ต่อแสนประชากรในปี 2566 แล้ว ซิฟิลิสติดต่อกันทางไหน? ล่ะ

โรคซิฟิลิสติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การสัมผัสแผลหรือผื่นของผู้ติดเชื้อ และจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ อาการของโรคในระยะแรกมักไม่แสดงชัดเจน ทำให้หลายคนไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษา โรคอาจลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และระบบประสาท ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ซิฟิลิสคืออะไร? ทำไมต้องใส่ใจโรคนี้มากขึ้น

ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum เป็นโรคที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และในปัจจุบันยังไม่หมดไปจากสังคมไทย แม้ว่าการรักษาซิฟิลิสในปัจจุบันสามารถทำให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก แต่หากละเลยการรักษา โรคอาจลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และระบบประสาท ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ซิฟิลิสติดต่อกันทางไหน? ช่องทางหลักที่ต้องรู้

โรคซิฟิลิสสามารถติดต่อได้หลายทาง โดยเฉพาะทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งรวมถึง:

  1. การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปากกับผู้ที่มีเชื้อซิฟิลิส โดยเฉพาะเมื่อมีแผลซิฟิลิสที่มักไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บ
  2. การสัมผัสแผลซิฟิลิสหรือผื่นในระยะที่ติดต่อได้
  3. การติดจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์หรือตอนคลอด (เรียกว่าซิฟิลิสแต่กำเนิด)
  4. การใช้ของใช้ร่วมกันบางประเภท เช่น อุปกรณ์เซ็กซ์ทอย ที่มีการปนเปื้อน
  5. การรับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ (พบได้น้อยมากในปัจจุบันเพราะมีมาตรการคัดกรองที่เข้มงวด)

ซิฟิลิสในแต่ละระยะ ติดต่อและมีอาการอย่างไรบ้าง

ซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก ซึ่งแต่ละระยะมีความสามารถในการติดต่อและลักษณะอาการที่แตกต่างกัน:

  • ระยะแรก: แผลเดี่ยวหรือหลายแผลเล็ก ๆ ที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก มักไม่เจ็บ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวและไม่ได้รับการตรวจ
  • ระยะที่สอง: เกิดผื่นทั่วร่างกาย รวมถึงฝ่ามือ ฝ่าเท้า ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ มีไข้ ปวดเมื่อย
  • ระยะแฝง: ไม่มีอาการ แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้ในช่วงต้นของระยะนี้
  • ระยะสุดท้าย: เชื้อแพร่เข้าสู่อวัยวะสำคัญ เช่น สมอง ระบบหัวใจ และกระดูก อาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้

ทำไมสถานการณ์ซิฟิลิสในไทยจึงน่าเป็นห่วงในปี 2025

ทำไมสถานการณ์ซิฟิลิสในไทยจึงน่าเป็นห่วง

ขอบคุณรูปภาพจาก : Love Foundation

รายงานจากกรมควบคุมโรคระบุว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อซิฟิลิสเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15–24 ปี ซึ่งมักเริ่มมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และไม่เข้ารับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์น่ากังวล ได้แก่:

  • การไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
  • การมีคู่นอนหลายคน
  • ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดต่อและอาการของโรค
  • การไม่เข้าถึงบริการตรวจโรคติดต่อ
  • วัฒนธรรมเซ็กส์แบบไม่เปิดเผย ทำให้ไม่กล้าไปตรวจ

ตรวจซิฟิลิสได้ที่ไหน? ใช้เวลานานไหม? เจ็บหรือเปล่า

การตรวจซิฟิลิสสามารถทำได้ง่ายด้วยการเจาะเลือดเพียงเล็กน้อย และมักใช้เวลาไม่นาน โดยผลตรวจจะออกภายใน 1–2 วัน หรือเร็วสุดใน 1 ชั่วโมงในบางคลินิก

สถานที่ที่สามารถเข้ารับบริการตรวจซิฟิลิสได้ในไทย ได้แก่:

  • โรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วประเทศ
  • คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ทางเพศ
  • คลินิกนิรนามของสภากาชาดไทย
  • คลินิกชุมชนอบอุ่นในเขตเมือง
  • บริการตรวจเชิงรุกจากแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Love2Test.org

ซิฟิลิสรักษาหายไหม? ต้องกินยานานไหม?

ซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายได้โดยเฉพาะในระยะต้น ด้วยยาฉีดเพนนิซิลลิน เบนซาไธน (Benzathine penicillin G) ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันมานานและมีประสิทธิภาพสูง หากผู้ติดเชื้อแพ้เพนนิซิลลิน อาจใช้ยาปฏิชีวนะชนิดอื่นภายใต้การดูแลของแพทย์

การรักษาควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ และควรตรวจซ้ำภายใน 3–6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดไปแล้ว และไม่กลับมาติดซ้ำ

ป้องกันซิฟิลิสอย่างไรให้ได้ผลจริง

แม้ซิฟิลิสจะสามารถรักษาได้ แต่การป้องกันย่อมดีกว่า โดยสามารถทำได้ดังนี้:

  1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  2. หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
  3. ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อมีคู่นอนใหม่
  4. ไม่ใช้เซ็กซ์ทอยร่วมกับผู้อื่น หรือล้างให้สะอาดก่อนใช้ทุกครั้ง
  5. พูดคุยกับคู่นอนเรื่องการตรวจ STI อย่างเปิดเผย

ซิฟิลิสเกี่ยวอะไรกับ HIV หรือโรคติดต่ออื่น ๆ หรือไม่?

งานวิจัยพบว่า การติดเชื้อซิฟิลิสจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ถึง 2–5 เท่า เนื่องจากแผลซิฟิลิสเปิดโอกาสให้เชื้อ HIV เข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายขึ้น อีกทั้งผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิส มักมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ไม่ใช้ถุงยาง มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่รู้สถานะของกันและกัน

รณรงค์ตรวจเชื้อในวัยรุ่น LGBTQ+ สำคัญแค่ไหน?

ในประเทศไทย กลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะชายรักชายและกลุ่มวัยรุ่น คือกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อซิฟิลิสและโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการเข้าถึงบริการตรวจฟรี การให้ความรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย และการรณรงค์เชิงสร้างสรรค์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

แพลตฟอร์มอย่าง Love2Test.org, ศูนย์บริการของโรงพยาบาลรัฐ, และคลินิกเอกชน LGBTQ-friendly มีบทบาทสำคัญในการเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้คนรุ่นใหม่กล้าตรวจ กล้ารักษา และกล้าพูดคุยเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา

อ้างอิง

  1. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รายงานโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังประจำปี 2567–2568
  2. WHO. Sexually transmitted infections (STIs). [ออนไลน์] https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/sexually-transmitted-infections-(stis)
  3. CDC. Syphilis – CDC Fact Sheet (Detailed). [ออนไลน์] https://www.cdc.gov/std/syphilis/stdfact-syphilis-detailed.htm
  4. สภากาชาดไทย. คลินิกนิรนาม. [ออนไลน์] https://www.trcarc.org/th/anonymoustestingclinic
แชร์และบอกต่อ