การคันน้องชาย หรือ อาการคันอวัยวะเพศชาย เป็นปัญหาที่ผู้ชายไม่ควรมองข้าม อาจเริ่มจากอาการคันเล็กๆ น้อยๆ หรืออาการคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาการคันเป็นปัญหาหนึ่งที่ส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพ และยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคผิวหนังที่ร้ายแรง หากมีความสงสัยเกี่ยวกับอาการคันควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อสอบถาม และรักษาอย่างทันที
เนื้อหาสำคัญ
อาการคันอวัยวะเพศชาย
การคันน้องชาย หรืออวัยวะเพศชาย จะมีอาการคันบริเวณดังนี้ คือ การคันบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ชาย (male external genitalia) การคันในท่อปัสสาวะเพศชาย (male urethra)
สาเหตุของ อาการคันอวัยวะเพศชาย
- ที่พบได้บ่อยมักจะเกิดจากการติดเชื้อราที่ได้มาจากคู่นอน จากการมีความชื้นสะสมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ เช่นหลังจากอาบน้ำ การแช่น้ำนานๆ เสื้อผ้าเปียก
- การที่มีปัสสาวะตกค้างในลำกล้องแล้วหยดออกมา ทำให้กางเกงในเปียก เมื่อสปอร์เชื้อราซึ่งพบได้ ทั่วไป อยู่ในภาวะที่เหมาะสม (ความชื้นสูง) จะทำให้เชื้อเติบโตและทำให้เกิดอาการคันเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคกลากเกลื้อน
- การที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ เช่น ป่วยเป็นเบาหวาน หรือผู้สูงอายุ การติดเชื้อราจะรุนแรงมากจนทำให้เกิดแผลบริเวณ หนังหุ้มปลาย หัวองคชาต ทำให้เกิดอาการอักเสบ และติดเชื้อแบคทีเรียตามมา
- ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถรูดหนังหุ้มปลายลงได้ ทำให้มีปัสสาวะตกค้างระหว่างหนังหุ้มปลายและองคชาต (phimosis) ส่งผลให้เกิดความชื้นสะสมและติดเชื้อรารุนแรงมากขึ้น
- การรักษาที่เหมาะสมในผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ การหลีกเลี่ยงสภาวะที่ทำให้เกิดความชื้นสูง เช่น รีดน้ำปัสสาวะออกจากท่อปัสสาวะที่มีน้ำปัสสาวะค้างในลำกล้องจนหมด ( post void dribbling) ร่วมกับการทำลายเชื้อราและสปอร์ของเชื้อราที่ตกค้างในเสื้อผ้า การใช้ยาฆ่าเชื้อรา ทั้งรูปแบบครีมและแชมพู
- หากผู้ป่วยมีอาการที่สงสัยการติดเชื้อแบคทีเรียควรให้ยาปฏิชีวนะ และให้ยาฆ่าเชื้อราที่เหมาะสมในระยะเวลานานประมาน 1 เดือน
- การติดเชื้อปรสิตเช่น หิด โลน
- หิด (scabies) มักจะเกิดร่วมกับอาการคันบริเวณง่ามนิ้วมือ นิ้วเท้า ผิวหนังบริเวณอื่นร่วมด้วย โดยเริ่มจากการเป็นตุ่มใส แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มแดง
- โลน (louse) เป็นปรสิตที่ได้รับจากการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่เป็นโรค ผู้ป่วยมักจะให้ประวัติคันบริเวณขนหัวหน่าว ซึ่งเป็นบริเวณที่ปรสิตอาศัย การรักษาคือการโกนขนหัวหน่าว ร่วมกับการใช้ยาฆ่าปรสิตแบบทา หรือกิน และ เปลี่ยนหรือทำความสะอาดเสื้อผ้าด้วยการต้ม เครื่องนอนที่อาจเป็นที่อยู่อาศัยของปรสิต
- โรคผิวหนังทั่วไป เช่น การแพ้สารเคมี เช่น ผงซักฟอก สบู่ น้ำหอม โรคที่พบร่วมกับผิวหนังส่วนอื่น เช่น สะเก็ดเงิน โรคไตวายเรื้อรัง การรักษาก็รักษาตามโรคนั้นๆ
- การคันในท่อปัสสาวะ ส่วนใหญ่นั้นมักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบบ่อยคือ ปรสิต Trichomonas Vaginalis ซึ่งมีอาการคันในท่อปัสสาวะเป็นอาการเด่น การรักษาโรคนี้นั้น สามารถรักษาโดยใช้ยากลุ่ม metronidazole
- โรคอื่นๆ เช่น หนองใน นั้นมักจะมีอาการคันนำมาก่อนจะมีหนองออกมาจากท่อปัสสาวะ รวมไปถึงปัสสาวะได้ ซึ่งการรักษานั้นควรได้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมทั้งหนองในแท้ และหนองในเทียม
วิธีการสังเกต อาการคันอวัยวะเพศชาย
การตรวจสอบอาการคันด้วยตนเองว่าต้องไปพบแพทย์หรือไม่ สามารถทำได้ดังนี้
- มีอาการคัน เจ็บ หรือแสบมาก ซึ่งอาการคันกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน
- มีอาการปัสสาวะแสบขัด รู้สึกเจ็บปวดขณะปัสสาวะหรือหลั่งน้ำอสุจิ
- มีน้ำใสๆ หรือหนอง หรือเลือด ไหลออกมาจากรูปัสสาวะ
- มีหูดหงอนไก่ มีตุ่ม มีก้อน หรือมีอาการบวม บริเวณที่คัน
- เจ็บปวดแสบบริเวณที่คันอย่างรุนแรง
- รู้สึกเจ็บปวดบริเวณขาหนีบ
- มีอาการปวดเมื่อยตัว มีไข้ เหมือนเป็นไข้หวัด
- รักษาตนเองแล้วอาการคันไม่ดีขึ้น
- หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 8 ข้อนี้ สามารถหาซื้อยาทารักษาเชื้อราตามร้านขายยาที่มีเภสัชกรมาใช้ได้ แต่หากไม่ดีขึ้นหรือมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ค่ะ
อาการคันอวัยวะเพศชาย เกิดจากโรคใดได้บ้าง?
โรคสังคัง (Tinea Cruris)
โรคติดเชื้อราบนผิวหนังที่มักเกิดตรงบริเวณขาหนีบ ต้นขาด้านใน อวัยวะเพศ หรือตามจุดที่มีความอับชื้น ซึ่งสามารถลุกลามไปยังผิวหนังบริเวณใกล้เคียง เช่น หน้าท้อง ก้น หรือแพร่กระจายสู่ผู้อื่นผ่านการใช้สิ่งของร่วมกันได้
สาเหตุ มาจากการใส่เสื้อผ้าเปียกชื้น ไม่สะอาด มีการหมักหมม ทำให้เชื้อราเติบโตได้เร็วและเกิดการติดเชื้อตามมา ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนที่มีภาวะเหงื่อออกมาก นักกีฬา โรคอ้วน และคนที่ไม่ค่อยรักษาความสะอาด
ลักษณะของสังคัง บริเวณผิวหนังที่มีการติดเชื้อ จะเกิดเป็นผื่นสีแดงและมีขอบผื่นนูนขึ้นมา สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน บางรายมีอาการผิวลอก ผิวแตกเป็นขุยสีขาว ๆ ซึ่งส่วนมากจะมีลักษณะเป็นแผ่นหรือวงกลม
อาการของสังคัง ตรงบริเวณที่เกิดวงผื่น จะมีอาการคัน เจ็บ และแสบร้อนตลอดเวลา ยิ่งไปสะกิดโดน หรือมีการเสียดสีจะยิ่งคันมาก ๆ
วิธีป้องกันรักษา ง่ายที่สุดคือป้องกันด้วยการดูแลความสะอาด และหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าเปียก อับชื้น หรือซ้ำติดต่อกันหลายวัน หากต้องทำกิจกรรมที่มีเหงื่อ ควรทำความสะอาดให้ดี หรือเปลี่ยนชุดใหม่ไปเลย ส่วนการรักษาจะใช้วิธีทายา ทาครีม หรือพ่นสเปรย์ต้านเชื้อ ที่บริเวณวงผื่นโดยตรง หากอาการไม่ดีขึ้นและมีการขยายตัวเรื้อรัง ควรเข้าพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการรักษาหรือขอยาปฏิชีวนะ
โลน (Pubic Lice)
คือ ตัวปรสิตขนาดเล็กที่เข้ามาอาศัยตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ เพื่อคอยดูดเลือดกินเป็นอาหาร โดยพบได้มากที่สุดตรงบริเวณอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง สาเหตุของโลน ส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านการสัมผัสตัวกับคนที่มีตัวโลนเกาะอยู่ และการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งต่อให้รักษาความสะอาดอย่างดี หรือใส่ถุงยางอนามัยก็ไม่สามารถป้องกันได้ ลักษณะของโลน จะมีตุ่มเลือดแห้งสีดำ หรือสีแดงเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นตามร่างกายส่วนที่มีขน มีรอยช้ำบริเวณที่โดนดูดเลือด หากตัวโลนโตเต็มที่จะสามารถมองเห็นตัวมันได้ด้วยตาเปล่า อาการของโลน คนที่ติดโลนมา จะมีอาการคันมาก ๆ ตรงบริเวณอวัยวะเพศหรือส่วนที่มีเส้นขน และยิ่งคันหนักขึ้นในช่วงกลางคืน บางรายมีอาการไข้ต่ำ หงุดหงิด หมดแรง แทรกซ้อนเข้ามาด้วย
วิธีป้องกันรักษา ควรหลีกเลี่ยงการมีกิจกรรมใกล้ชิด เช่น กอด จูบ หรือใช้เสื้อผ้าร่วมกันกับผู้ที่ติดโลน นี่คือวิธีป้องกันที่ดีที่สุด ด้านการรักษา ตามร้านขายยาทั่วไปจะมีผลิตภัณฑ์พวกแชมพู ครีม สำหรับกำจัดพวกปรสิตเหล่านี้จำหน่ายอยู่แล้ว ซึ่งควรใช้ติดต่อกันอย่างน้อย 7-10 วัน เพื่อป้องกันไข่โลนตกค้าง หากยังมีอาการคันหลงเหลือให้ลองโกนขนบริเวณนั้น ๆ ออก แล้วทำความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าห่ม ด้วยน้ำอุณหภูมิสูง ถ้าไม่หายจริง ๆ ให้เข้าพบแพทย์ผิวหนัง
โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) หรือ เรื้อนกวาง
โรคผิวหนังอักเสบแบบเรื้อรังที่พบได้บ่อย ๆ แต่หลายคนไม่รู้ตัว สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ถูกกระตุ้นให้กำเริบได้ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เช่น ภาวะทางจิตใจ ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อวัยวะภายในทำงานผิดปกติ รวมถึงการรับประทานอาหาร ระคายเคืองจากการสัมผัสสารเคมีหรือกรดบางชนิด ลักษณะของโรคสะเก็ดเงิน การอักเสบแสดงออกได้หลายรูปแบบมาก ๆ ทั้ง ชนิดผื่นหนา นูนแดง มีขอบชัดเจน, ชนิดผื่นแดงขนาดเล็ก เป็นเม็ด ๆ ขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตร, ชนิดตุ่มหนอง และชนิดผิวแดงหลุดลอก ซึ่งควรให้แพทย์ผิวหนังเป็นผู้วินิจฉัย
อาการของโรคสะเก็ดเงิน แต่ละชนิดจะมีอาการแตกต่างกันออกไป หลัก ๆ เลย คือ อาการคัน เจ็บ หรือรู้สึกแสบร้อนบริเวณผิวหนังที่อักเสบ
วิธีป้องกันรักษา อย่างที่บอกโรคสะเก็ดเงินเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย จึงไม่มีวิธีป้องกันแบบสมบูรณ์ แต่แนะนำให้ดูแลความสะอาดร่างกาย และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะกระตุ้นโรคให้กำเริบ ในส่วนการรักษามีหลายวิธี เช่น การทายาตรงผิวหนังที่เป็น, การฉายแสง และการกินยา ซึ่งต้องให้แพทย์ผิวหนัง หรือเภสัชกรวินิจฉัยชนิดของโรคให้ชัดเจน และทำตามคำแนะนำ
โรคอักเสบที่ปลายอวัยวะเพศชาย (Balanitis)
เป็นโรคผิวหนังตรงจุดนั้นซึ่งค่อนข้างอ่อนโยน จึงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายหากไม่รักษาความสะอาด สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อราที่มีชื่อว่า แคนดิดา (Candida) ซึ่งยิ่งหมักหมมสกปรกมากเท่าไหร่ เชื้อยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้น นอกจากนี้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริม หนองใน หรือโรคสะเก็ดเงิน ก็ทำให้เกิดการอักเสบตรงปลายอวัยวะเพศได้เช่นกัน ลักษณะของโรคอักเสบที่ปลายอวัยวะเพศ สังเกตที่ตรงส่วนปลายองคชาต จะบวมและแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางรายระคายเคืองหนัก ถึงขั้นมีของเหลวเหมือนน้ำหนองข้น ๆ ไหลออกมา และมีกลิ่นเหม็น อาการของโรคอักเสบที่ปลายอวัยวะเพศ ทั่วไปจะมีอาการคันตรงบริเวณหนังหุ้มปลาย รู้สึกเจ็บ ปวดเล็กน้อยเวลาปัสสาวะ หากรุนแรงมากจะรู้สึกคัน และปวดไปทั่วทั้งหัวองคชาต
วิธีป้องกันรักษา ลดความเสี่ยงได้โดยการหมั่นดูแลทำความสะอาดหนังหุ้มปลายเป็นประจำ และสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ส่วนการรักษา ในกรณีอาการไม่รุนแรงมาก แค่ทำความสะอาดบ่อย ๆ ก็ดีขึ้นแล้ว แต่หากเป็นหนักควรพบแพทย์เพื่อขอยาปฏิชีวนะ หรือยารักษาเฉพาะทางมากิน
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก:
คันน้องชาย ปัญหาเล็ก ๆ ที่ผู้ชายไม่ควรมองข้าม https://men.kapook.com/view204742.html
“คันจู๋ไม่รู้เป็นอะไร?!?” https://www.tuanet.org/health-talk/คันจู๋ไม่รู้เป็นอะไร/
ศุกร์กับเซ็กส์ : คันอวัยวะเพศชาย https://www.komchadluek.net/news/166977